เมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 27 ก.ย. 2564 ร.ต.อ.วรุต ภูมิภักดิ์ รองสว.(สอบสวน)สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนด่านเคอร์ฟิว มีตำรวจสภ.คลองหลวง ได้รับบาดเจ็บ บริเวณถนนพหลโยธิน ขาออก ช่องทางด่วนช่วง กม.45+400 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมพ.ต.ต.สิงหา เฟื่องแก้ว สว.จร.สภ.คลองหลวง และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุอยู่ในช่องทางด่วน พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อนิสสัน รุ่นเทียร์น่า สีดำ ชนเข้ากับด้านหน้ารถกระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ 4 ประตู ซึ่งเป็นรถตำรวจจราจร สภ.คลองหลวง จนตัวรถหมุนขวางถนน
นอกจากนี้ยังมีรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า เอ็นแม็กซ์ สีขาว ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.คลองหลวง ถูกชนได้รับความเสียหาย 2 คัน ข้างกันยังพบ ด.ต.สมคิด ขานกระโทก ผบ.หมู่งานจร.สภ.คลองหลวง ได้รับบาดเจ็บ มีแผลถลอกที่ศอก และเจ็บขาซ้าย ถูกนำตัวส่ง รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ในการตั้งด่านประกอบด้วย แบริเออร์น้ำ กรวยยาง ป้ายสัญญาณไฟ ถูกชนจนได้รับความเสียหาย โดยที่ผู้ขับขี่รถคู่กรณีคือ นางภัทร์ภัสสร จิรพัทธพงศ์ อายุ 53 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
นางภัทร์ภัสสร ให้การว่า ขณะเกิดเหตุตนกำลังจะกลับบ้านที่พระราม 2 โดยออกมาจากนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แต่มาโผล่จุดนี้เพราะงงเส้นทาง และกำลังจะกลับรถ มองไม่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านจึงเกิดอุบัติเหตุ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์มาตรวจวัดในที่เกิดเหตุ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ ไม่ยอมเป่า แต่อมไว้เฉยๆ จึงนำตัวไป สภ.คลองหลวง
ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ ทักษิณ รองสว.จร.สภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุได้นำตำรวจจราจร 5 นาย มาตั้งด่านเคอร์ฟิว เพื่อบังคับรถที่วิ่งมาในช่องทางด่วนไปเข้าช่องทางคู่ขนาน เพื่อเข้าด่านตรวจเคอร์ฟิว ที่มีด่านบริเวณหน้านิคมอุตสาหกรรมนวนคร โดยเริ่มตั้งแต่ 21.00 น. – 04.00 น. กระทั่งเวลา 22.30 น. มีรถเก๋งคู่กรณีขับมาในเส้นทางที่ขับมาด้วยความเร็ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้สัญญาณไฟเพื่อให้เบี่ยงออก แต่ผู้ขับขี่ไม่ควบคุมรถออกจึงชนแบริเออร์ ป้ายสัญญาณไฟ แล้วพุ่งชนรถตำรวจจนได้รับความเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
ร.ต.อ.วรุฒม์ ภูมิภักดิ์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้นำตัวผู้ขับขี่มาที่ สภ.คลองหลวง เพื่อตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์อีกครั้ง แต่เจ้าตัวปฏิเสธ จึงควบคุมตัวดำเนินคดีในข้อหาเมาสุราขณะขับรถ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและนำตัวดำเนินคดีทางกฏหมายต่อไป
