5 วิธีเปลี่ยนคน “ขี้เกียจ” เป็นคนขยัน “ออกกำลังกาย” ได้ง่ายๆ

0
142
สมัคร mm88

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ขี้เกียจออกกำลังกาย ถ้าใช่ เรามีวิธีง่ายๆ ที่จะเปลี่ยนนิสัยของคุณให้หันมาชอบออกกำลังกายมากขึ้นได้

5 วิธีเปลี่ยนคน “ขี้เกียจ” เป็นคนขยัน “ออกกำลังกาย” ได้ง่ายๆ

  1. หาวิธีออกกำลังกายที่ชอบให้ได้

การที่คุณขี้เกียจออกกำลังกาย พยายามหาข้ออ้างนู่นนี่มาบอกตัวเองไม่ให้ออกกำลังกาย นั่นเพราะว่าคุณไม่มีแพชชั่น หรือไม่มีแรงจูงใจให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบนั่นเอง ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบวิ่ง คุณก็จะไม่อยากวิ่งแล้วพยายามหาข้ออ้างมาผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ

วิธีออกกำลังกายมีอยู่มากมายไม่ใช่แค่เพียงการวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเล่นเครื่องเล่นในฟิตเนส คุณควรหาวิธีออกกำลังกายที่คุณรู้สึกสนุกไปกับมันให้ได้มากที่สุด วิธีที่จะทำให้คุณรู้ตัวเองว่าคุณชอบออกกำลังกายแบบไหน ก็คือการทดลองออกกำลังกายในแบบต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ลองวิ่งดู ถ้าไม่ชอบพรุ่งนี้ไปปั่นจักรยาน ถ้าไม่ชอบพรุ่งนี้ไปว่ายน้ำ ถ้าไม่ชอบพรุ่งนี้ไปแอโรบิค หรือจะต่อยมวย ตีแบดมินตันกับเพื่อน โยคะ พิลาทิส หรือแม้กระทั่งเดิน มันต้องมีสักอย่างแน่นอนที่คุณชอบมากที่สุด

  1. คนอ้วนเริ่มออกกำลังกายด้วยวิธีการออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทก

สำหรับคนอ้วนที่ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ มักเป็นกลุ่มที่ล้มเหลวในการเริ่มต้นออกกำลังกายมากที่สุด ด้วยความที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย กล้ามเนื้อก็ไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย เจ็บปวดกล้ามเนื้อได้ง่ายด้วยน้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติ ซึ่งจะเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กลุ่มคนอ้วนล้มเลิกการออกกำลังกายไป ดังนั้นสำหรับคนอ้วนจึงควรเลือกวิธีออกกำลังกายที่ช่วยลดแรงกระแทกก่อน เพื่อลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นระหว่างออกกำลังกายได้ เช่น

  • โยคะ ช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลของระบบต่าง ๆ เช่น ระบบไหลเวียนเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ช่วยลดความเครียด
  • ว่ายน้ำ เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และหัวใจและหลอดเลือดที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ
  • การเดิน เป็นกิจกรรมที่ใช้แรงในการออกกำลังน้อย แต่ช่วยทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานอย่างเป็นระบบ และยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
  • การปั่นจักรยาน ช่วยให้กล้ามเนื้อของร่างกายมีการขยับไปทุกส่วน และช่วยเพิ่มความฟิตของกล้ามเนื้อ
  1. ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายทุกวัน

การออกกำลังกายเป็นประจำไม่ได้หมายความว่าต้องออกกำลังกายทุกวันก็ได้ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 วัน วันละ 30 นาที – 1 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว ในทางตรงกันข้าม การออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันทุกวันอาจส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่า เช่น ภาวะกล้ามเนื้อสลาย หรือภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากระบบภายในร่างกายทำงานหนักเกินไป

  1. คาร์ดิโอผสมเวทเทรนนิ่ง

การออกกำลังกายแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท ได้แก่ การออกกำลัง “หัวใจ” ที่เรามักเรียกว่า “คาร์ดิโอ” เป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับ “หัวใจ” โดยเฉพาะ พูดง่ายๆ ว่าทำให้หัวใจแข็งแรง ส่งผลให้เราไม่เหนื่อยง่ายจนเกินไปนั่นเอง โดยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่เป็นที่นิยม ได้แก่ วิ่ง ปั่นจักรยาน แอโรบิค ว่ายน้ำ โดยจะสังเกตได้ว่าเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยหอบ

ส่วนอีกประเภทคือ เวทเทรนนิ่ง เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้ “กล้ามเนื้อ” ในส่วนต่างๆ ของร่างกายของเราแข็งแรง ซึ่งสำคัญไม่แพ้กับคาร์ดิโอ เพราะเป็นการส่งเสริมให้การออกกำลังกายของอีกแบบได้ประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคาร์ดิโอด้วยวิธีปั่นจักรยาน แล้วคุณเวทเทรนนิ่งที่กล้ามเนื้อขาด้วย เมื่อขาของคุณมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง คุณก็จะปั่นจักรยานได้นานขึ้นหรือเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง

นอกจากนี้การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอผสมเวทเทรนนิ่งยังช่วยไม่ให้คุณรู้สึกเบื่อง่าย หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนส่วนของร่างกายในการออกกำลังกาย เมื่อวานปวดกล้ามเนื้อขาจากการปั่นจักรยานมาก วันนี้เลยมาเวทเทรนนิ่งแขนแทนก็ได้ เป็นต้น

  1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

เป็นอีกสิ่งที่ควรทำกับการออกกำลังกายในช่วงวัยนี้ โดยเมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง Personal Trainer จะช่วยให้เราสามารถออกกำลังกายถูกต้อง ตรงจุด ครบถ้วนเหมาะสมกับวัย และไม่ต้องกังวลจะเกิดปัญหาอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้ นอกจากนี้การมีผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลเราอย่างใกล้ชิด จะทำให้เรามีวินัยในการออกกำลังกายได้มากขึ้นอีกด้วย

mm88