อย่ามองว่าเป็นเพียงอาการปวดศีรษะธรรมดาๆ อาการปวดศีรษะที่ผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนอันตรายโรคร้ายแรงที่คุณอาจคาดไม่ถึง
พญ.อนงนุช ชวลิตธำรง แพทย์ American Board of Anti-Aging Medicine จาก Addlife Anti-Aging Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ระบุถึงอาการปวดศีรษะที่ผิดปกติ และควรได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติมอย่างละเอียดจากแพทย์เอาไว้ ดังนี้
8 อาการ “ปวดศีรษะ” ที่อันตราย ควรรีบพบแพทย์
- ปวดศีรษะรุนแรงมากที่สุดในชีวิต
- ปวดฉับพลันทันที ปวดศีรษะมากจนต้องตื่นกลางดึก
- ปวดศีรษะข้างเดิมตลอด
- ปวดศีรษะจนต้องใช้ยาแก้ปวด ปริมาณมากหรือบ่อย
- ปวดศีรษะมากขึ้นเมื่อไอ จาม เบ่งออกแรง เปลี่ยนท่าทาง
- ปวดศีรษะร่วมกับอาการผิดปกติอย่างอื่น เช่น ไข้ เห็นภาพซ้อน หลงลืม พูดลิ้นแข็ง ปากเบี้ยว ชาอ่อนแรง เดินเซ ชัก สับสน เป็นต้น
- ผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี ที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรก หรือเปลี่ยนไปจากเดิม
- ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) ที่มีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ
ตรวจ MR เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่แท้จริง
MR เป็นเทคนิคการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้ตรวจคัดกรองวินิจฉัยโรค มีความถูกต้อง แม่นยำสูง สามารถตรวจได้ทุกระบบของร่างกายอย่างละเอียด ที่สำคัญไม่มีอันตรายจากรังสี นิยมใช้เป็นเครื่องมือลำดับแรกๆ ในการตรวจหาความผิดปกติของสมอง เพราะสามารถสร้างภาพได้หลายระนาบ และตรวจพบความผิดปกติได้ชัดเจน ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุได้รวดเร็วแม่นยำ
จากข้อมูลด้านสุขภาพจากต่างประเทศและในประเทศไทยพบว่า ปัจจุบันมีผู้รักสุขภาพใช้เครื่อง MR ในการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยในการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยที่ยังไม่ต้องรอให้แสดงอาการเจ็บป่วย เนื่องจากการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มากขึ้น
ในการวินิจฉัยโรคทางสมอง เช่น โรคสมองขาดเลือดเฉียบพลัน (Stroke) โรคเนื้องอกในสมอง แพทย์อาจพิจารณาตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging) และ MRA (Magnetic Resonance Angiography) ควบคู่กันไป โดย MRI สามารถตรวจดูความผิดปกติที่เนื้อเยื่อสมอง และก้อนเนื้อต่างๆได้ ส่วน MRA ใช้ตรวจดูความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง
ความผิดปกติที่เกิดขึ้น ยิ่งตรวจพบเร็ว จะช่วยป้องกันและรักษาได้ดีกว่า ดังนั้น อย่ารอช้าที่จะมาตรวจคัดกรองก่อน